22 Jun 2019
สุขพร วงศ์เชียงคำ : "เมสซี่ลาว" ผู้เอาชนะคำดูถูกจนเป็นที่ยอมรับในเมืองไทย

การเล่นฟุตบอลอาชีพในต่างประเทศ คงเป็นหนึ่งในความฝันของนักเตะมากมายบนโลกนี้ ซึ่งไม่เว้นแม้แต่ในประเทศไทย ถึงกระนั้นก็ต้องยอมรับว่า โอกาสสำหรับนักเตะแต่ละชาตินั้นก็ไม่เท่ากัน
แม้ สุขพร วงศ์เชียงคำ จะได้รับการยอมรับว่าเป็นนักเตะที่มีทักษะอันยอดเยี่ยมประหนึ่ง "ลิโอเนล เมสซี่ ของประเทศลาว" แต่ด้วยชื่อชั้นทางลูกหนังของประเทศ รวมถึงอุปสรรคทางร่างกายที่มีมาตั้งแต่เกิด ก็ทำให้เส้นทางการค้าแข้งนั้นเต็มไปด้วยอุปสรรคมากมาย ทว่าเขาก็สามารถพิสูจน์ตัวเอง จนกลายเป็นหนึ่งในผู้เล่นตัวหลักของ ชัยนาท ฮอร์นบิล ในศึกโตโยต้า ไทยลีก ฤดูกาล 2019
ท่ามกลางคำครหาและเคลือบแคลง เขาใช้มันเป็นพลังก้าวมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร?
อยากให้เล่าถึงการเล่นฟุตบอลที่ประเทศไทยครั้งแรกหน่อยว่าเกิดขึ้นเมื่อไหร่?
ผมมาเล่นฟุตบอลที่ประเทศไทยเป็นครั้งแรกตอนอายุ 13 ปี ตอนนั้นทีมชาติลาวได้รับเชิญมาแข่งขัน รายการชัยพงษ์คัพ ที่จังหวัดพิจิตร ทุกคนเห็นทีมเราเป็นไม้ประดับ นักเตะญี่ปุ่น นักเตะเกาหลี ได้นอนโรงแรม ส่วนทีมชาติลาวต้องไปนอนวัด แต่ที่สุดแล้ว พวกเราคว้าแชมป์ ชนะโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนในรอบชิงชนะเลิศ และผมได้เป็นนักเตะยอดเยี่ยมของรายการ
ความสำเร็จในครั้งนั้น ได้เป็นแรงบันดาลใจต่อการเป็นนักเตะอาชีพมากน้อยแค่ไหน?
ตอนเด็กผมไม่คิดหรอกว่าจะได้เป็นนักฟุตบอลอาชีพ เพราะผมสูงแค่ 156 เซนติเมตร ชนาธิป (สรงกระสินธ์) ยังสูงกว่าผมอีก โค้ชทุกคนที่เคยสอนเข้ามาบอกว่า เรียนจบแล้ว เอ็งเลิกเล่นบอลเลยนะ เพราะว่า ต่อให้ตอนเด็กเอ็งจะเก่งแค่ไหน แต่นักฟุตบอลอาชีพ ร่างกายเขาไม่เป็นแบบนี้
ผมนั่งร้องไห้เลย ถามตัวเองว่ามันจริงอย่างที่เขาพูดไหม บางครั้งผมโทษครอบครัวว่าทำไมให้ร่างกายมาแบบนี้ แต่ด้วยความที่ผมเป็นคริสเตียน ผมเชื่อว่าพระเจ้าช่วยผมได้ ผมก็ใช้ตรงนั้นเป็นจุดยืนในชีวิต ใครจะว่าอะไรผมไม่สน
พูดถึงชนาธิป คุณเป็นนักเตะเยาวชนของ บีอีซี เทโรศาสน (โปลิศ เทโร ในปัจจุบัน) รุ่นเดียวกัน แต่ตัดสินใจออกมาเป็นนักเตะอาชีพกับ กระบี่ เอฟซี เป็นทีมแรก ช่วงนั้นเป็นอย่างไร?
วันแรกที่ถึงจังหวัดกระบี่ ทั้งแฟนคลับ ทั้งผู้บริหารสโมสรมารับผมหมด ตอนแรกเขาเห็นยังไม่แน่ใจว่าใช่ไหม เพราะเขาคิดว่านักบอลฝีมือดีจากลาว ไม่น่าตัวเล็กขนาดนี้ ผมมีเวลาปรับตัวกับทีมเวลาสามวัน แล้วก็ได้ลงสนามเลย เกมนั้นผมยิง 2 ประตู ช่วยทีมชนะ บางกอก เอฟซี 2-1 หลังจากนั้นทุกคนก็มองผมต่างจากเดิมเลย
ดูเหมือนชีวิตจากนั้นจะเริ่มดี แต่เหตุใดคุณถึงตัดสินใจออกมาค้าแข้งกับหลายๆ ทีมในเวลาต่อมา?
ตอนนั้นโค้ชให้ผมเป็นกัปตันทีมกระบี่แล้วนะ แต่ผมต้องการออกไปท่องโลก ไปดูว่าฟุตบอลที่จังหวัดอื่นมันเป็นอย่างไร อยากรู้ว่าผมจะเก่งแค่ที่นี่ไหม ผมเลยตัดสินใจย้ายไปเล่นให้พิษณุโลก แต่ทีมก็มีปัญหาการเงินเลยต้องย้ายทีมอีกรอบ คราวนี้ผมได้รับข้อเสนอจาก บีบีซียู และ นครราชสีมา เอฟซี แต่สุดท้ายผมเลือกมาสระบุรี เพราะผมคิดว่า ถ้าอยากเรียนรู้การเป็น สุดยอดกองกลาง ผมต้องเรียนรู้มันจากพี่แบน (ธชตวัน ศรีปาน เฮดโค้ชในขณะนั้น)
ที่สุดแล้ว คุณก็เป็นส่วนหนึ่งของสระบุรีชุดที่เลื่อนชั้นสู่ โตโยต้า ไทยลีก ได้สำเร็จ แต่เหตุใดถึงทำให้คุณตัดสินใจทิ้งโอกาสได้เล่นในลีกสูงสุดแล้วไปค้าแข้งที่ญี่ปุ่น?
หลังจบฤดูกาล 2014 มีเอเยนต์ติดต่อมา ต้องการพาผมไปเล่นที่ประเทศญี่ปุ่น ตอนนั้นผมยังเหลือสัญญากับสระบุรีอยู่ ผมขอยกเลิกสัญญาเลย แต่พอไปญี่ปุ่นแล้ว ร่างกายมันไม่ไหว ผมต้องขอกลับก่อน ผมรู้ตัวว่าผมเล่นที่นั่นไม่ได้จริงๆ ที่สุดแล้วก็ต้องกลับมาเริ่มต้นใหม่ที่ลาวกับ ล้านช้าง ยูไนเต็ด
แล้วอะไรคือสาเหตุที่ทำให้คุณได้กลับมาเล่นในไทยอีกครั้ง?
ผมตัดสินใจกลับมาที่ประเทศไทย ขอลองกับมันอีกสักรอบ สุดท้ายผมได้ทดสอบฝีเท้ากับศรีสะเกษ เอฟซี ผมซ้อมอยู่สองสัปดาห์ เขายื่นสัญญาให้ แต่เขาบอกเลยว่า ให้เงินเดือนแค่นี้นะ ผมบอกโอเค ไม่เป็นไร เรื่องเงินไม่สำคัญ ขอให้ได้ทำในสิ่งที่รักก็พอ
วันแรก น้าฉ่วย (สมชาย ชวยบุญชุม) พูดกับผมเลยว่า เราเซ็นคุณมาแล้วจะได้ประโยชน์อะไร พูดต่อหน้าเพื่อนร่วมทีมทุกคนเลยนะ แต่ผมใช้มันเป็นแรงผลักดันในการฝึกซ้อม จนผ่านไปสามสี่เกม แกกลับมาบอกผมใหม่ว่า คุณห้ามเจ็บ ห้ามไม่สบายนะ ถ้าทีมเรามีนักเตะอย่างคุณสักสิบคนคงจะดี
อะไรคือสาเหตุที่ทำให้คุณสู้ถึงขนาดนี้ ต่อสู้กับคำพูดของผู้คนมากมาย จนที่สุดแล้วคุณก็ได้เล่นในไทยลีกกับ ชัยนาท ฮอร์นบิล และทำผลงานได้ดีในฤดูกาลนี้?
ผมมาที่นี่ ผมไม่ได้มาเที่ยว ผมมาทำงาน ผมไม่ได้สู้เพื่อตัวผมคนเดียว ผมมาสู้เพื่อประเทศของผม หลายคนอาจย้ายมาเล่นฟุตบอลเพื่อเงิน แต่ผมแบกชื่อประเทศออกมาด้วย ผมต้องทำให้เต็มที่ หลังจากนี้ผมจะกลับไปเล่าให้เด็กรุ่นหลังฟังได้ว่า ผมเคยไปเตะที่นั่นที่นี่
ไทยกับลาวเป็นสองประเทศที่มีพรมแดนใกล้ชิดกัน แล้วเรื่องอื่นๆ ล่ะ เหมือนหรือต่างมากน้อยแค่ไหน?
ผมว่าวัฒนธรรมไทยกับลาว ไม่ต่างกันมากเท่าไร เนื่องจากเป็นเมืองพุทธเหมือนกัน อาหารการกินก็ไม่เป็นปัญหา ทุกที่ในประเทศไทยมีคนอีสานหมด มันเหมือนคนคอเดียวกัน ชวนกันไปกินส้มตำ ตอนอยู่กระบี่แรกๆ คนเรียกผมไอ้ลาว แต่บางคนไม่รู้หรอกว่าผมเป็นคนลาว สำหรับผม คนไทยเป็นคนขี้เล่น ปรับตัวง่าย แฟนคลับทุกทีมก็น่ารัก เขาอาจจะด่าคุณบ้าง แต่จริงๆ จิตใจเขาดีกับคนลาวนะ
ชีวิตของคุณตอนนี้เป็นอย่างไร แล้ววางแผนอนาคตไว้อย่างไรบ้าง?
ชีวิตตอนนี้ก็ไม่ต่างจากคนไทยนะครับ ภาษาไทยพูดได้เขียนได้ ภรรยาผมก็เป็นคนไทยด้วย แต่ที่สุดแล้ว ยังไงสักวันผมก็ต้องกลับไปลาว เพราะผมชอบอยู่แบบบ้านๆ ไม่ชอบเมืองแออัด อีกเรื่องคือ ผมต้องกลับไปช่วยเด็กที่บ้านเกิด ตอนนี้ผมมีแผนแล้วว่า สักวันผมต้องกลับไปที่ลาว เปิดอคาเดมี คัดเด็กที่มีพรสวรรค์ เอาพวกเขามาอยู่ด้วยกันแล้วฝึกฝน ให้เขาเก่งได้เหมือนผม ให้เขาเก่งยิ่งกว่าผม
คุณได้รับการยกย่องจากหลายคนว่าเป็นนักเตะหมายเลข 1 ของทีมชาติลาว กระแสตอบรับของคุณจากคนในบ้านเกิดเป็นอย่างไร?
เวลากลับไปที่ลาว ก็พอจะมีคนทักบ้าง ว่าเป็นนักเตะทีมชาติลาว แต่ไม่เยอะเท่ากับคนไทย เวลาเจอแฟนบอลไทย พวกเขาจะเรียกชื่อผม มาขอถ่ายรูปกันเยอะเลย ตอนเล่นที่ศรีสะเกษ เวลาผมไปกินข้าว เขาจำผมได้ทั้งเมือง
แล้วกับคำว่า “นักเตะหมายเลข 1 ของทีมชาติลาว” ล่ะ คิดอย่างไรกับคำพูดนี้?
ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นหมายเลขหนึ่งของทีมชาติลาวหรอก เพราะความฝันของเด็กบ้านนอกคนหนึ่งอย่างผม คือการช่วยเหลือประเทศของผม และสิ่งที่ผมทำได้ คือการเป็นนักฟุตบอลอาชีพ ผมไม่คิดหรอกว่าจะเป็นเบอร์หนึ่งของประเทศ ขอแค่ติดทีมชาติก็พอ
แต่วันนี้ผมมาไกลแล้ว ผมแบกทีมชาติมาถึงขนาดนี้ ผมมาเล่นถึงไทยลีก แฟนบอลคาดหวังในตัวผม ผมต้องทำผลงานให้ดี ผมต้องทุ่มเทกับมัน ทำให้แฟนบอลลาวทุกคนภูมิใจไปกับผม มีความสุขไปกับผม ทำให้ดีกว่าที่ลูกผู้ชายคนหนึ่งจะทำได้ ทุกครั้งที่ผมลงสนาม ผมวิ่งจนตายได้ เพื่อประเทศของผม
คุณถือเป็นหนึ่งในนักเตะที่พยายามผลักดันตัวเองอย่างหนักจนสามารถมาค้าแข้งในต่างแดนได้สำเร็จ คิดว่าอะไรเป็นเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จนี้ และอยากฝากอะไรถึงคนที่มีฝันแบบเดียวกันบ้าง?
เวลาไปต่างประเทศ ผมว่าคุณต้องไปสู้เอา เหมือนชนาธิปไปญี่ปุ่นครั้งแรก ผมว่ามันก็เป็นเรื่องยาก แต่คุณต้องไปทำให้เขายอมรับ ตอนแรกผมเครียดมากเลยนะ หากวันนี้ผมคิดว่าจะได้เล่น สุดท้ายไม่ได้เล่น ตอนนี้ผมคิดใหม่ ไม่เป็นไร พรุ่งนี้ผมจะทำงานให้หนักกว่าเดิม ซ้อมให้หนักกว่าเดิม จนกว่าเขาจะเห็นว่าผมทำได้
ผมอยากบอกน้องๆ ทุกคนที่อยากเป็นแบบผมว่า ผมไม่ได้เกิดมาเป็นซุปเปอร์สตาร์ คุณต้องถามตัวเองว่า ซ้อมมากพอหรือยัง ลองทำแบบนี้หรือยัง ผมว่าทุกคนต้องสร้างตัวเองขึ้นมา ทำเต็มที่ ทำให้มันถึงที่สุด แล้วฟุตบอลจะเป็นสิ่งสวยงามสำหรับคุณเอง