06 Aug 2021
‘อ๊อตโต้’ พันธุนารายณ์ พันธุ์ศิริ : เด็กหนุ่มผู้ฝันคุมทีมพรีเมียร์ลีก สู่กุนซืออายนุ้อยที่สุดของลีกอาชีพเมืองไทย

จากเด็กหนุ่มในจังหวัดกาญจนบุรี ที่มีความฝันในการกุนซือสโมสรฟุตบอลในพรีเมียร์ลีก ปัจจุบันในวัย 24 ปี เขาเข้าใกล้ความฝันไปอีกระดับ จากการทำงานเป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนให้ สิงห์ระฆังทอง กาญจนบุรี เอฟซี สโมสรในศึกมังกรฟ้า ลีก
วันนี้ ไทยลีก จะพาทุกท่านมาทำความรู้จักกับ ‘โค้ชอ๊อตโต้’ พันธุ์นารายณ์ พันธุ์ศิริ กุนซือผู้มีอายุน้อยที่สุดในการแข่งขันฟุตบอลลีกอาชีพเมืองไทยกัน
ทำงานให้บ้านเกิด

จากการทำงานเป็นนักวิเคราะห์เกมให้ทีมชาติไทย รุ่นอายุไม่เกิน 16 ปี ไปจนถึงการทำงานกับทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด ในฐานะผู้ฝึกสอนทีมเยาวชน รวมถึงการเป็นเจ้าของเพจ The Next Coach เพจให้ความรู้ด้านฟุตบอลที่มีผู้ติดตามเกือบ 180,000 คนโดยประมาณ ปัจจุบัน พันธุ์นารายณ์ พันธุ์ศิริ ตัดสินใจมาคุมทีมในบ้านเกิดของตัวเองอย่าง สิงห์ระฆังทอง กาญจนบุรี เอฟซี สโมสรในศึกมังกรฟ้า ลีก หรือไทยลีก 3
แน่นอนว่านี่เป็นการคุมทีมสโมสรอาชีพเต็มตัวครั้งแรกของเขา แต่โค้ชหนุ่มไฟแรงก็มีเป้าหมายในการคุม ‘นักรบตะวันตก’ อย่างชัดเจน คือการพาทีมไต่เต้าไปสู่การแข่งขันไทยลีก 2 และเน้นไปที่การปลุกปั้นเยาวชน
“เราทำงานร่วมกับเมืองกาญจน์ ยูไนเต็ด ครับ เราเป็นเหมือนทีมที่รวบรวมเด็กฝีเท้าดีไว้ในทีม แต่เราก็มีเป้าหมายอยู่ที่การเลื่อนชั้น และคว้าแชมป์โซนในปีนี้” นายใหญ่ของทัพนักรบตะวันตก กล่าวเริ่ม
“ส่วนเด็กในทีมที่ฝีเท้าดี เราก็ต้องการนำเด็กมารวมกัน เพื่อสร้างระบบการฝึกซ้อม ระบบการเล่นที่ดี และเป็นการผลิตเยาวชนให้กับเมืองกาญจน์ ยูไนเต็ด ตอนนี้นักเตะในทีมของเรามีค่าเฉลี่ยอายุอยู่ประมาณ 23 ปีครับ”
นอกจากจะเป็นการเข้ามาเป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนเต็มตัวครั้งแรกแล้ว นี่ยังเป็นการทำหน้าที่ในลีกล่างอย่างไทยลีก 3 ซึ่งแน่นอนว่าคุณภาพในหลายๆ ด้าน อาจไม่เทียบเท่ากับลีกสูงสุด หรือการทำงานกับทีมชาติได้ และมันทำให้โค้ชหนุ่มวัย 24 ปี ต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการรับมือกับงานของตัวเอง
“มันมีความต่างกันครับ” โค้ชอ๊อตโต้ พูดถึงงานล่าสุดของเขา กับงานก่อนๆ ที่เคยทำมา โดยเขาอธิบายถึงกลุ่มผู้เล่นนักเตะในลีกสูงสุดว่า “ในเรื่องของการรับมือผู้เล่น รวมถึงเป้าหมาย และความทะเยอทะยานครับ จากที่ผมสัมผัสจากไทยลีก ผู้เล่นทุกคนมีเป้าหมายจะได้ลงตัวจริง จะเครียดหากต้องเป็นสำรอง พวกนักเตะต้องการผลักดันตัวเองตลอด เพื่อโอกาสก้าวไปติดทีมชาติ ซึ่งเราต้องรับมือเขาอีกแบบ เพราะพวกเขาอยากลงสนามสม่ำเสมอ หากไม่ได้ลงก็มีความเครียด กดดัน มันเกิดขึ้นได้หากผู้เล่นมีความทะเยอทะยานสูงเกินไป ซึ่งเราต้องรับมือให้ได้ และหารายการให้เขาลงเล่นอย่างสม่ำเสมอ”
“แต่ในส่วนของไทยลีก 3 หากมองในภาพรวม นักฟุตบอลค่อนข้างจะสบายๆ กว่าหน่อย เพราะความกดดันน้อยกว่า พวกเขาไม่ได้ซีเรียสในเรื่องโอกาสลงสนาม หรือการติดทีมชาติมากนัก เราจึงรับมือได้ง่ายกว่า พูดคุยได้ง่ายกว่าหากต้องให้นักเตะบางคนเป็นตัวสำรองบ้าง แต่สิ่งที่ตามมาก็คือความทะเยอทะยาน หรือความมุ่งมั่นมันน้อยลง นี่ก็เป็นงานที่สำคัญของผม และเป็นสิ่งแรกที่ผมต้องการจะรับตั้งแต่เข้ามารับงานกับสโมสรเลยครับ นั่นคือการเพิ่มความทะเยอะทะยาน เป้าหมายในชีวิต เพื่อให้เขาไปได้สูง ไปได้ไกลกว่าที่พวกเขาเองคิดไว้ เราต้องสร้างแรงจูงในให้พวกเขามากกว่าครับ”
ใครๆ ก็เป็นโค้ชได้

หนึ่งในจุดสำคัญ ที่ทำให้ พันธุ์นารายณ์ ได้รับการจับตามอง คือนอกจากจะเป็นโค้ชที่มีอายุน้อยแล้ว เขายังเป็นคนที่ไม่ได้มีประสบการณ์ของการเป็นนักฟุตบอลอาชีพมาก่อน ทำให้หลายคนมองว่า นี่อาจเป็นปัญหาสำคัญในการทำงานของเขา
และกุนซือทัพนักรบตะวันตกเอง ก็ยอมรับว่ามันมีส่วนเหมือนกัน แต่นั่นก็ไม่สามารถหยุดเขาจากความฝันในการเป็นโค้ชได้
“ถ้าในภาพรวม ก็ค่อนข้างมีส่วนครับ แต่ผมว่าเรื่องที่สำคัญคือความรู้ด้านฟุตบอลมากกว่า” ‘โค้ชอ๊อตโต้’ บอกกับทีมงานไทยลีกเมื่อถูกถามเรื่องประสบการณ์การเป็นนักฟุตบอลกับงานผู้ฝึกสอน
“คนที่เป็นนักฟุตบอลมาก่อน เขาจะได้เปรียบในเรื่องของประสบการณ์ และความรู้จากการเป็นนักฟุตบอลมาก่อน รวมถึงการรวมงานกับโค้ชคนอื่น แต่ผมเองก็ไม่ได้เริ่มต้นจากศูนย์ เพราะผมก็ได้เรียนไลเซนส์ (ใบอนุญาตการทำงานโค้ช) แล้ว และได้ทำงานกับโค้ชชั้นนำของไทยมาแล้ว ตัวผมเองไม่ได้มองว่ามันเป็นปัญหาเลย”
“แต่หากเราเริ่มโดยที่ไม่มีองค์ความรู้เลย ไม่มีประสบการณ์เลย มันจะมีปัญหาแน่ครับ เพราะงานโค้ชต้องใช้ความรู่ในหลายด้าน เราเป็นเหมือนผู้นำองค์กรๆ หนึ่งครับ เราจึงต้องมีความรู้พอสมควร”
นอกจากนี้ กุนซือของสิงห์ระฆังทอง กาญจนบุรี ยังยกตัวอย่างหัวหน้าผู้ฝึกสอนที่เป็นเหมือนต้นแบบของเขา ซึ่งไม่ได้ผ่านการเป็นนักฟุตบอลมาก่อนเหมือนกัน แต่ก็สามารถประสบความสำเร็จได้ โดยเขาพูดถึงโค้ชสองคนนี้
“ผมชอบยูเลียน นาเกลส์มันน์ (หัวหน้าผู้ฝึกสอนคนปัจจุบันของบาเยิร์น มิวนิค แชมป์บุนเดสลีกา เยอรมนี ทีมล่าสุด) เพราะเขาเป็นโค้ชหนุ่มที่ไม่ได้เป็นนักฟุตบอลอาชีพมาก่อน รวมถึงการมีสไตล์การทำงานที่นำเทคโนโลยีหลายแบบมาประยุกต์ใช้ รวมถึงการที่เขามีความสามารถ และสามารถพิสูจน์ตัวเองได้ตั้งแต่อายุอย่างน้อย” เฮดโค้ชของทีมดังจากโซนตะวันตกในไทยลีก 3 อธิบาย
“แต่หากเป็นโค้ชคนไทย ผมชอบเซอร์เด็จครับ (จเด็จ มีลาภ หัวหน้าผู้ฝึกสอนคนปัจจุบันของเมืองกาญจน์ ยูไนเต็ด) เพราะเขาเองก็ไม่ได้เป็นนักฟุตบอลมาก่อน แต่ก็สามารถสร้างตัวเองมาได้จากความสามารถของตนเองครับ”
และเมื่อถามถึงความฝันสูงสุดของตัวเอง ผู้ฝึกสอนหนุ่มวัย 24 ปี ก็ได้พูดถึงเรื่องนี้ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้ตัวเองก้าวสู่เส้นทางโค้ชว่า “ผมเองมีเป้าหมายตั้งแต่เด็ก มันถือเป็นความฝันเลยครับว่า ผมอยากเป็นโค้ชในระดับพรีเมียร์ลีก”
“ตอนนี้ผมก็ทำงานเป็นขั้นตอน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือประสบการณ์และองค์ความรู้ต่างๆ เพื่อว่าวันหนึ่งผมจะมีโอกาสทำฝันได้สำเร็จ หรือไปใกล้ความฝันให้ได้มากที่สุด”
มุมมองต่อฟุตบอลไทย
ในตอนนี้ พันธุ์นารายณ์ อาจยังไม่ใช่ผู้ฝึกสอนที่มีประสบการณ์ในวงการฟุตบอลไทยสูงนัก หากเทียบกับโค้ชคนอื่นๆ แต่เขาก็มีมุมมองที่น่าสนใจ ในฐานะเด็กรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบฟุตบอลมานาน รวมถึงการเป็นโค้ชที่จบการเรียน B License ตั้งแต่อายุ 21 ปี และเมื่อเราถามถึงฟุตบอลทีมชาติไทยในตอนนี้ เขาก็บอกกับเราว่า “ปัญหาอย่างหนึ่งของไทยคือ เราเองไม่ชอบฟุตบอลเกมรับนัก หากเราตั้งโค้ชที่เข้ามาคุมทีมชั่วคราวในตอนนี้ ผมมองว่าเราควรหาโค้ชที่เล่นฟุตบอลเน้นผลมากกว่านี้หน่อย เพราะตอนนี้เราต้องการโค้ชที่หวังผลได้เลยครับ”
“แต่ผมมองว่าการเปลี่ยนโค้ชสักกี่คนก็ไม่ได้ช่วยอะไรครับ หากเราจะเน้นผลการแข่งขันมากกว่าการพัฒนา ผมคิดว่าเราต้องมีเป้าหมายให้ชัดเจน หากเราจะเน้นการพัฒนา การเปลี่ยนโครงสร้างใหม่ เราก็ต้องหาโค้ชที่เหมาะสมครับ แต่หากเรายังซีเรียสกับผลแข่งขัน ชนิดที่แพ้แล้วปลดออกเลย เราก็ต้องเอาโค้ชที่ทำบอลเน้นผลเข้ามาครับ แม้ว่าสไตล์การเล่นจะน่าเบื่อสักหน่อย แต่ผมว่าน่าจะทำผลงานดีกับทีมชาติไทยตอนนี้ เพราะด้วยระบบการทำงาน ด้วยโครงสร้างของทีมชาติเอง ที่หากทำไม่ได้ตามเป้าเราก็ต้องปลดเลย เราก็ต้องนำโค้ชประเภทนี้เข้ามาครับ”
และในฐานะโค้ชรุ่นใหม่ เราจึงสอบถาม ‘โค้ชอ๊อตโต้’ ว่าเขามองว่านักเตะดาวรุ่งคนใดที่น่าจับตามองในวงการฟุตบอลไทยตอนนี้ ซึ่งหลายคนคงนึกถึงชื่อ ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา, เอกนิษฐ์ ปัญญา, สุภโชค สารชาติ แต่กับผู้ฝึกสอนรายนี้ เขาก็ให้คำตอบที่ต่างไป
“ผมชอบกัณตภณ คีรีแลง (กองหน้าจากทรู แบงค็อก) ครับ ผมว่าเขาเป็นกองหน้าที่มีอนาคตไกล มีสไตล์การเล่นที่ชัดเจน มีสรีระร่างกายที่ได้เปรียบ ผมเชื่อว่าต่อไปเขาจะเป็นกองหน้าที่ดีของไทย” พันธุ์นารายณ์ พูดถึงนักเตะที่เขาเคยทำงานด้วย ในสมัยที่อยู่กับทัพแข้งเทพ
“ส่วนอีกคนคือ ธนริน ทุมเสน (กองกลางดาวรุ่งของบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด) ผมเจอน้องมาตั้งแต่เด็กๆ เลยครับ ผมมองว่าเขาเป็นกองกลางที่มีพรสวรรค์มากๆ เป็นกองกลางบ็อกซ์ทูบ็อกซ์ที่หายาก เพราะเขาตัวเล็ก แต่มีเทคนิคดี และมีพละกำลังเหลือเฟือ ผมมองว่าต่อไปเขาจะเป็นกองกลางเบอร์ 1 ของทีมชาติไทยได้”
สิ่งสำคัญคือการบริหารเวลา

แน่นอนว่า การเป็นโค้ชฟุตบอล ถือเป็นงานที่ต้องใช้ความรับผิดชอบสูงมาก และถือเป็นอาชีพที่อาจจะทำให้ผู้ที่รับหน้าที่ต้องเสียเวลาตัวเองทั้งหมดไปกับการทำงานนี้
อย่างไรก็ตาม ‘โค้ชอ็อตโต้’ ซึ่งเป็นหนึ่งในคนรุ่นใหม่ยุคปัจจุบัน ก็มองว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือการแบ่งเวลาให้ถูกต้อง และนอกจากการทำงานอย่างเต็มที่แล้ว การรักษาบาลานซ์ให้ชีวิต ก็ถือเป็นหัวใจสำคัญในการทำงานของเขาเช่นกัน
“ผมเองเป็นคนมีไลฟ์สไตล์ที่ไม่ได้ทำงานหนักเท่าไรครับ เพราะผมเชื่อว่าการแบ่งเวลาจะทำให้เราประสบความสำเร็จได้” กุนซือวัย 24 ปี กล่าว
“ผมบอกนักฟุตบอลเสมอว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดของการทำงานคือ การทำงานให้เต็มที่ และพักผ่อนให้เต็มที่ ผมเองไม่ใช่คนที่หมกมุ่นกับงานมากนัก อาจจะมีบ้างในบางช่วง แต่ผมต้องหาเวลาพักผ่อนให้ตัวเอง ผมต้องบาลานซ์ชีวิตให้ได้ ส่วนตัวผมมีการแบ่งเวลาทำงานชัดเจน ว่าผมจะทำงานในสนามเท่านี้ ทำงานนอกสนามเท่านี้ มีเวลาพักผ่อนที่พักผ่อนจริงๆ หรือเวลาที่จะไม่ยุ่งกับเรื่องงานเลยครับ”
“ผมมองว่าการบริหารเวลาเป็นจุดแข็งของผมครับ เป็นเรื่องของการบริหารความเครียด ความกดดัน ผมมองว่าผมไม่เคยทำงานหนักเลย แต่ผมอาศัยการบาลานซ์ชีวิตให้มันพอดีครับ ผมเชื่อว่าการบาลานซ์ชีวิตที่ดี การมีเวลาพักผ่อน อยู่กับครอบครัว ไปเที่ยวพักผ่อน มันจะช่วยให้เราทำงานได้ดีขึ้นครับ ที่ผ่านมันเป็นแบบนั้นจริงๆ”
นอกจากนี้ เฮดโค้ชของทีมจากกาญจนบุรี ยังบอกด้วยว่าตนเคยผ่านการทุ่มเทให้งานจนถึงขนาดไม่อยากดูบอลมาแล้ว จากการกล่าวเสริมว่า “ผมเคยลองโหมทำงานหนักในช่วงแรกของการทำงาน ซึ่งมันทำให้ผมเอียน ผมอิ่มตัวกับฟุตบอล ถึงขั้นที่ว่าผมไม่สามารถดูฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ดูบอลต่างประเทศได้เลย ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนผมชอบมาก ผมชอบฟุตบอลมาตั้งแต่เด็ก แต่ตอนที่ผมเข้ามาทำงานในวงการฟุตบอลใหม่ๆ ผมเริ่มทำงานหนักเพราะอยากไปถึงเป้าหมายเร็วๆ แต่ปรากฏว่ามันช้ากว่าเดิมครับ เพราะเราบาลานซ์เวลาได้ไม่ดีพอ ในตอนนั้น ถ้านอกเวลางานผมไม่อยากสนใจฟุตบอลเลย แต่พอหลังๆ ผมจัดการเรื่องนี้ได้ ผมแบ่งเวลาให้ชัดเจน ชีวิตมันก็บาลานซ์ขึ้นครับ ผลงาน หรืออะไรต่างๆ มันก็ดีขึ้น และไปข้างหน้าได้ดีกว่าเดิมครับ”
ท้ายที่สุดแล้ว ‘โค้ชอ็อตโต้’ ในฐานะแม่ทัพของสิงห์ระฆังทอง กาญจนบุรี เอฟซี ก็ได้กล่าวทิ้งท้าย เพื่อฝากข้อความไปถึงแฟนบอลทัพนักรบตะวันตก สำหรับการลุยศึกมังกรฟ้า ลีก ในฤดูกาลนี้ว่า “ผมอยากฝากอีกทีมของจังหวัดกาญจนบุรีไว้ครับ ผมอยากให้กระแสแฟนบอลที่กาญจนบุรีกลับมาคึกคัก ผมจะทำทีมด้วยสไตล์การเล่นที่เอนเตอร์เทน และสวยงาม อยากให้แฟนบอลส่งแรงใจให้เยอะๆ ผมไม่รู้ว่าแฟนบอลจะเข้าสนามได้เมื่อไร แต่ผมอยากให้ติดตามผ่านทางโซเชียลมีเดียไว้ ผมรับประกันว่าปีนี้จะเป็นปีที่สนุกของจังหวัดกาญจนบุรี และสำหรับแฟนบอลทั้งสองทีมในจังหวัดแน่นอนครับ”